การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
(Active
Learning)
ในศตวรรษที่
๒๑ เป็นยุคของข้อมูลข่าวสารและการเปลี่ยนแปลง
ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้การสื่อสารไร้พรมแดน
การเข้าถึงแหล่งข้อมูลสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ผลกระทบจากยุคโลกาภิวัตน์นี้ส่งผลให้ผู้เรียนจำเป็นจะต้องมีความสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องและเป็นผู้แสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
ประกอบกับปัจจุบันมีองค์ความรู้ใหม่เกิดขึ้นมากมายทุกวินาทีทำให้เนื้อหาวิชามีมากเกินกว่าที่จะเรียนรู้จากในห้องเรียนได้หมด ซึ่งการสอนแบบเดิมด้วยการ “พูด บอก เล่า”ไม่สามารถจะพัฒนาผู้เรียนให้นำความรู้ที่ได้จากการเรียนในชั้นเรียนไปปฏิบัติได้ดี
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนรู้ให้ตอบสนองความเปลี่ยนแปลงของสังคมเทคโนโลยี
จากผู้สอนที่มีบทบาทเป็นผู้ถ่ายทอดปรับเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ชี้แนะวิธีการค้นคว้าหาความรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้สามารถแสวงหาความรู้
และประยุกต์ใช้ทักษะต่างๆ สร้างความเข้าใจด้วยตนเองจนเกิดเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
การเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน“เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมายโดยการร่วมมือระหว่างผู้เรียนด้วยกันในการนี้ครูต้องลดบทบาทในการสอนและการให้ข้อความรู้แก่ผู้เรียนโดยตรง
แต่ไปเพิ่มกระบวนการและกิจกรรมที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการจะทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น
และอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์โดยการพูด การเขียน
การอภิปรายกับเพื่อนๆ”
กรวยแห่งการเรียนรู้ (The
Cone of Learning)
การเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
หรือการเรียนรู้เชิงรุก (Active
Learning) เป็นกระบวนการเรียนการสอนอย่างหนึ่ง เป็นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ หรือ
การลงมือทำซึ่ง “ความรู้” ที่เกิดขึ้นก็เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์
จากกระบวนการในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผู้เรียนมีโอกาส ลงมือกระทำมากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการอ่าน การเขียน การโต้ตอบ
และการวิเคราะห์ปัญหา อีกทั้งให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดขั้นสูง ได้แก่
การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า
การเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
(Active Learning) ทำให้ผู้เรียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทนได้มากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียน
เป็นฝ่ายรับความรู้ (Passive Learning) เพราะกระบวนการเรียนรู้แบบ
Active Learning สอดคล้องกับการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ
โดยสามารถเก็บและจำสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน
ผู้สอน สิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ที่ได้ผ่านการปฏิบัติจริง จะสามารถเก็บความจำ ในระบบความจำระยะยาว
(Long Term Memory) ทำให้ผลการเรียนรู้
ยังคงอยู่ได้ในปริมาณที่มากกว่า ระยะยาวกว่า ซึ่งอธิบายได้ ดังรูป
จากรูปจะเห็นได้ว่า
กรวยแห่งการเรียนรู้นี้ได้แบ่งเป็น 2 กระบวนการ คือ
๑. กระบวนการเรียนรู้แบบตั้งรับ (Passive
Learning)
- การเรียนรู้โดยการอ่าน
ท่องจำ ผู้เรียนจะจำได้ในสิ่งที่เรียนเพียง ๒๐%
-
การเรียนรู้โดยการฟังบรรยายเพียงอย่างเดียวโดยที่ผู้เรียนไม่มีโอกาสได้มีส่วนร่วมใน
การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมอื่นในขณะที่ครูสอน เมื่อเวลาผ่านไปผู้เรียนจะจำได้เพียง ๒๐%
หากในการเรียนการสอนผู้เรียนมีโอกาสได้เห็นภาพประกอบด้วยก็จะทำให้ผลการเรียนรู้คงอยู่ได้เพิ่มขึ้นเป็น
๓๐%
- การเรียนรู้ที่ผู้สอนจัดประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพิ่มขึ้น
เช่น การให้ดูภาพยนตร์ การสาธิต
จัดนิทรรศการให้ผู้เรียนได้ดู
รวมทั้งการนำผู้เรียนไปทัศนศึกษาหรือดูงาน ก็ทำให้ผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้น เป็น ๕๐%
๒. กระบวนการเรียนรู้เชิงรุก ( Active
Learning)
- ผู้เรียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้และเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์จนเกิดความรู้
ความ
เข้าใจ
นำไปประยุกต์ใช้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า หรือ สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ
และพัฒนาตนเองเต็มความสามารถ รวมถึงการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ได้ร่วมอภิปราย ให้ฝึกทักษะการสื่อสาร
ทำให้ผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้นเป็น ๗๐%
- การนำเสนอผลงานทางการเรียนรู้ในสถานการณ์จำลอง
ทั้งมีการฝึกปฏิบัติในสภาพจริง มี
การเชื่อมโยงกับสถานการณ์ต่างๆ
จะทำให้ผลการเรียนรู้เกิดขึ้นถึง ๙๐%
ลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
- ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้
และการสรุปทบทวนของผู้เรียน
- เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพทางสมอง
ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา การนําความรู้ ไปประยุกต์ใช้
-
เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้
- เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด
ฟัง คิด
-
เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการคิดขั้นสูง
-
เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล
ข่าวสาร สารสนเทศ และหลักการ สู่การสร้างความคิดรวบยอด
-
ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้
มีการสร้างองค์ความรู้ การสร้างปฎิสัมพันธ์ร่วมกัน และร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน
-
ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
-
ผู้เรียนได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน
การมีวินัยในการทํางาน และการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
-
ผู้สอนเป็นผู้อํานวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้
เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง
หลักการจัดการเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
๑. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายใต้ความเชื่อพื้นฐาน 2
ประการคือ
๑)
การเรียนรู้เป็นความพยายามโดยธรรมชาติของมนุษย์
๒)
แต่ละบุคคลมีแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน โดยผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจาก
ผู้รับความรู้ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้
๒. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียน
มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน
และระหว่างผู้เรียน
ด้วยกัน
โดยใช้เทคนิคหรือกิจกรรมต่างๆ
๓. เน้นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำและได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้
กระทำลงไป
๔. ผู้สอนมีบทบาทอำนวยความสะดวกและจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง
จนเกิดเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
(Meaningful
Learning)
บทบาทของครูผู้สอน
๑.
ให้ความสำคัญกับผู้เรียนเป็นหลักในการจัดการเรียนรู้ กิจกรรมต้องสะท้อนความต้องการในการ
พัฒนาผู้เรียนและเน้นการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงของผู้เรียน
๒. วางแผนเกี่ยวกับเวลาในจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน
ทั้งในส่วนของเนื้อหา และกิจกรรม
๓. สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม การอภิปราย
และการเจรจาโต้ตอบ ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมี
ปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สอนและเพื่อนในชั้นเรียน
๔. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เกิดความเลื่อนไหล
มีชีวิตชีวา
ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน
ทุกกิจกรรมรวมทั้งกระตุ้นให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
๕. จัดสภาพการเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจ ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน
๖. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ท้าทาย
และให้โอกาสผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้
ที่หลากหลาย
๗. ครูผู้สอนต้องใจกว้าง ยอมรับความสามารถในการแสดงออก
และความคิดเห็นเของผู้เรียน
รูปแบบวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
(Active
Learning) ครอบคลุมวิธี
การจัดการเรียนรู้หลากหลายวิธี
เช่น
-
การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Based
Learning)
-
การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential
Learning)
-
การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based
Learning)
-
การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based
Learning)
-
การเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการคิด
(Thinking
Based Learning)
-
การเรียนรู้การบริการ
(Service
Learning)
-
การเรียนรู้จากการสืบค้น (Inquiry-Based
Learning)
-
การเรียนรู้ด้วยการค้นพบ
(Discovery
Learning)
อย่างไรก็ตาม รูปแบบ วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เหล่านี้
มีพื้นฐานมาจากแนวคิดเดียวกัน
คือให้ผู้เรียนเป็นผู้มีบทบาทหลักในการเรียนรู้ของตนเอง
ข้อพึงระมัดระวัง
๑. เนื่องจากการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning มีรากฐานมาจากแนวคิดทางการศึกษาที่เน้น การสร้างองค์ความรู้ใหม่ (Constructivist) โดยผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้จากข้อมูลที่ได้รับมาใหม่ด้วยการนำไปประกอบกับประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาในอดีต นอกจากนี้ยังมีมิติของกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอยู่
2 มิติ ได้แก่ กิจกรรมด้านการรู้คิด (Cognitive
Activity) และกิจกรรมด้านพฤติกรรม (Behavioral
Activity) ผู้นำไปใช้อาจเข้าใจคลาดเคลื่อน
ว่าการเรียนรู้แบบนี้ คือรูปแบบที่เน้นความตื่นตัวในกิจกรรมด้านพฤติกรรม (Behavioral
Active) โดยเข้าใจว่าความตื่นตัวในกิจกรรมด้านพฤติกรรมจะทำให้เกิดความตื่นตัวในกิจกรรมด้านการรู้คิด
(Cognitively Active) ไปเอง
จึงเป็นที่มาของการประยุกต์ใช้ผิดๆว่าให้ผู้สอนลดบทบาทความเป็นผู้ให้ความรู้ลง
เป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกและบริหารจัดการหลักสูตร
โดยปล่อยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เองอย่างอิสระจากการทำกิจกรรมและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เรียนด้วยกันเอง
ตามยถากรรม โดยผู้เรียนไม่ได้เรียนรู้ พัฒนามิติด้านการรู้คิด
๒. ความตื่นตัวในกิจกรรมด้านพฤติกรรมอาจไม่ก่อให้เกิดความตื่นตัวในกิจกรรมด้านการรู้คิดเสมอไป การที่ผู้สอนให้ความสำคัญกับกิจกรรมด้านพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว เช่น
การฝึกปฏิบัติและการอภิปรายในกลุ่มของผู้เรียนเอง
โดยไม่ให้ความสำคัญกับกิจกรรมด้านการรู้คิด เช่น การลำดับความคิดและการจัดองค์ความรู้
จะทำให้ประสิทธิผลของการเรียนรู้ลดลง
๓. กรณีการนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบที่ให้ผู้เรียนทำกิจกรรมและค้นพบความรู้ด้วยตนเองนี้ ไปใช้กับการพัฒนาการเรียนรู้ตามลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย
(Cognitive Domain) จะเหมาะกับการพัฒนาในขั้น การทำความเข้าใจ
การนำไปประยุกต์ใช้ และการวิเคราะห์ ขึ้นไปมากกว่าขั้นให้ข้อมูลความรู้ เพราะเป็นการเสียเวลามาก
และไม่บรรลุผลเท่าที่ควร
โดยสรุป
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน โดยการนำเอาวิธีการสอน
เทคนิคการสอนที่หลากหลายมาใช้ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรม กระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียน
ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนและผู้เรียนกับผู้สอน
เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นพัฒนากระบวนการเรียนรู้
ส่งเสริมให้ผู้เรียนประยุกต์ใช้ทักษะและเชื่อมโยงองค์ความรู้นำไปปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาหรือประกอบอาชีพในอนาคต
และถือเป็นการจัดการเรียนรู้ประเภทหนึ่งที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน
ในที่นี้
จึงเสนอรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ทีเน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียนที่เหมาะสมในการนำไปใช้ในการจัดกิจกรรม
“ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ดังต่อไปนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น