วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562

แนวคิดและหลักการของการประเมินการเรียนการสอน


แนวคิดและหลักการของการประเมินการเรียนการสอน 
 ความหมายของการประเมินการเรียนการสอน 
 สรุปความหมายของการประเมิน (evaluation) ที่ มีผู้นิยามออกเป็น 2 ลักษณะที่สำคัญ คือ 
          ลักษณะที่ 1 การประเมินในความหมายที่เป็นการดำเนินการที่ประกอบด้วยการวัด (measurement) และการใช้ดุลยพินิจ (judgement) การประเมินในลักษณะนี้หมายถึง กระบวนการใช้ดุลยพินิจและ/ หรือค่านิยมและข้อจำกัดต่าง ๆ ในการพิจารณาตัดสินคุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยการเปรียบเทียบผล ที่วัดได้กับเกณฑ์ที่กำหนดไว้  
ลักษณะที่ 2 การประเมิน หมายถึง กระบวนการที่ก่อให้เกิดสารสนเทศ (เชิงคุณค่า) เพื่อช่วย ให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจเลือกทางเลือกอย่างมีประสิทธิภาพสูงสูด ดังนั้นผู้ประเมินจึงต้องศึกษาความต้องการ ของผู้บริหารและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากผลการประเมินอย่างครบถ้วนเพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการวางแผนการประเมิน
ไทเลอร์ (Tyler, อ้างถึงใน ราชบัณฑิตยสถาน2555หน้า 206) นักการศึกษาคนส าคัญของ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้บัญญัติศัพท์การประเมินผลเป็นครั้งแรกว่า “ระดับการบรรลุวัตถุประสงค์ของการสอน” โดยได้เขียนหมายเหตุไว้ว่า ในอนาคตควรนิยามการประเมินผลในเชิงระบบ ซึ่งต่อมาไทเลอร์ได้หมายถึง การประเมินระบบการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วยการประเมินความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียน การสอน ความเหมาะสมของผลการเรียนรู้คือ สมรรถนะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ กลยุทธ์การจัด การเรียนการสอน พฤติกรรมการเรียนการสอน อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน บรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนการสอน ตลอดจนประสิทธิผลและประสิทธิภาพของการเรียนการสอน  ดังนั้นการประเมินการเรียนการสอนที่จะกล่าวถึงในรายละเอียดในบทนี้จึงสอดคล้องกับแนวคิดของไทเลอร์ คือ การประเมินองค์ประกอบเชิงระบบของการเรียนการสอนที่ประกอบด้วยปัจจัยนำเข้า (input) กระบวนการ (process) ผลผลิต (output) และการควบคุม (control) 
วิธีการประเมินการเรียนการสอน 
                ในยุคแรก การประเมินเป็นส่วนหนึ่งของการวัด และการวัดก็เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัย ต่อมา การประเมินได้รับการพัฒนาเป็นศาสตร์ ซึ่งมีส่วนที่แตกต่างและส่วนที่เหมือนกับการวิจัย โดยที่การวัด กลับเป็นส่วนหนึ่งของการประเมิน (สมหวัง  พิธิยานุวัฒน์2551หน้า 22-23) ดังนั้นในการออกแบบ การประเมินเพื่อรวบรวมข้อมูลที่ต้องการนั้นจึงด้ำวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ที่นักวิจัยใช้ในการแสวงหา ความรู้ เช่น การกำหนดปัญหาในการวิจัยหรือการตั้งคำถามวิจัย การสร้างกรอบความคิดเชิงทฤษฎี  การตั้งสมมติฐาน การออกแบบวิจัย การรวบรวมข้อมูล การสุ่มตัวอย่าง การวิเคราะห์ข้อมูลและ การตีความหมายข้อมูล เป็นต้น
นักทฤษฎีการประเมินแบ่งวิธีการประเมินเป็น 2 ขั้วที่ต่างกัน คือ วิธีเชิงระบบ และวิธีเชิงธรรมชาติ ซึ่งทั้งสองวิธีมีความแตกต่างกันในด้านของเครื่องมือ การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้
          1) วิธีเชิงระบบ (systematic approach) เป็นการประเมินที่ยึดมาตรการเข้าถึงคุณค่า และเกณฑ์ตัดสินคุณค่าตามแนวคิดปรัชญาปรนัยนิยม (objectivism) ซึ่งมีความเชื่อว่าวิธีเชิงระบบเป็น วิธีที่เหมาะสมในการประเมิน นักทฤษฎีในกลุ่มนี้พยายามเสนอรูปแบบการประเมินที่แสดงถึง การวางแผนการดำเนินงานและวิธีดำเนินงานอย่างชัดเจน รัดกุมและเป็นระบบ สนับสนุนการใช้เครื่องมือ ที่ได้มาตรฐานในการเก็บรวบรวมข้อมูล พยายามควบคุมสถานการณ์และตัวแปรแทรกซ้อนที่อาจส่งผล กระทบต่อผลการประเมิน ท าการวิเคราะห์ข้อมูลตามแผนการที่กำหนด และสรุปผลการประเมินตาม เกณฑ์มาตรฐานที่ประกาศไว้ล่วงหน้า
2) วิธีเชิงธรรมชาติ (naturalistic approach) เป็นการประเมินที่ยึดมาตรการเข้าถึง คุณค่าและเกณฑ์ตัดสินคุณค่าตามแนวคิดปรัชญาอัตนิยม (subjectivism) ซึ่งมีความเชื่อว่าวิธีเชิง ธรรมชาติเป็นวิธีที่เหมาะสมในการประเมิน นักทฤษฎีในกลุ่มนี้พยายามเสนอรูปแบบการประเมินที่มี ลักษณะที่ยืดหยุ่น สนับสนุนการเก็บรวบรวมข้อมูลในสภาพธรรมชาติ โดยเน้นการสังเกตแบบไม่มี โครงสร้าง พยายามวิเคราะห์ข้อมูลโดยอาศัยหลักการเชื่อมโยงเหตุผล การสังเกตและการวิเคราะห์ เบื้องต้นจะนำไปสู่การสังเกตและวิเคราะห์ในขั้นลึก ๆ ถัดไป จนได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคุณค่าของสิ่งที่ ประเมินโดยอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เป็นเกณฑ์สำคัญในการสรุป  สำหรับการประเมินการเรียนการสอนนั้นจะใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันโดยใช้วิธีเชิงระบบเป็นหลัก โดยอิงเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของสิ่งที่ประเมินเป็นหลัก (gold-based) และข้อมูลที่รวบรวมเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ การประเมินโดยมุ่งเน้นวัตถุประสงค์เป็นหลักและใช้วิธีเชิงระบบเพื่อให้ได้คำตอบที่ ถูกต้องเชื่อถือได้ ทำให้นักประเมินจำเป็นต้องจำกัดตัวแปรที่ศึกษาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่เป็น วัตถุประสงค์หลักของการประเมินเท่านั้น โดยไม่นำปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อผลการประเมินแต่ ไม่ได้อยู่ในเป้าหมายของการประเมินมาพิจารณา ดังนั้นวิธีเชิงธรรมชาติจึงนำมาใช้เพื่อเสริมจุดด้อยของวิธี เชิงระบบ การประเมินด้วยวิธีเชิงธรรมชาติจะมีความยืดหยุ่นมากกว่า เป็นการประเมินที่เป็นอิสระจาก เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการประเมิน (gold-free) ข้อมูลที่รวบรวมเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพที่ใช้ ในการตรวจสอบผลลัพธ์ทั้งผลทางตรงและทางอ้อม และการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ คาดหมายซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งทางบวกและทางลบ การใช้วิธีเชิงธรรมชาติจึงเป็นการตัดสินคุณค่าของ การเรียนการสอนนอกเหนือจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างรอบด้านและครอบคลุม  
จุดมุ่งหมายของการประเมินการเรียนการสอน 
          ในปัจจุบันแนวคิดในการประเมินมุ่งเน้นการประเมินเพื่อปรับปรุงงานหรือโครงการที่วางแผน ไว้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการหรืองานที่รับผิดชอบ สำหรับ การประเมินการเรียนการสอนนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อ
1) การประเมินความต้องการจำเป็นทำให้ทราบว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริง และมีความสำคัญ ในลำดับก่อนหลังอย่างไร
2) ช่วยในการตัดสินใจเลือกวิธีการในการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล    ทำให้ได้สารสนเทศในการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการ
3) ทำให้ทราบว่าการแก้ปัญหาบรรลุเป้าหมายหรือผลการเรียนรู้ที่ต้องการหรือไม่
4) ช่วยตัดสินคุณภาพของกระบวนการเรียนการสอนและสื่อการเรียนการสอน 
 ประโยชน์ของการประเมินการเรียนการสอน 
          ผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการประเมิน ซึ่งประกอบด้วย ผู้เรียน ครู ผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้อง ได้รับประโยชน์จากการประเมินการเรียนการสอน ดังนี้
1) ผู้เรียนได้รับประโยชน์ดังนี้
 (1) ช่วยพัฒนาและปรับปรุงการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งในด้านความรู้และการปฏิบัติ
 (2) ได้สื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพซึ่งช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนและตอบสนองความ ต้องการของผู้เรียน
2) ครูได้รับประโยชน์ ดังนี้
 (1) รู้ว่าอะไรเป็นความต้องการจำเป็น และสามารถจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของ ปัญหาและความต้องการที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนได้
 (2) ช่วยครูในการเลือกวิธีสอนและสื่อการเรียนการสอน
 (3) ช่วยครูในการพัฒนาคุณภาพของการเรียนการสอน ทำให้การเรียนการสอนน่าสนใจ
 (4) ช่วยให้ครูสามารถปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน
3) ผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้อง ได้รับประโยชน์ ดังนี้
 (1) ช่วยให้ผู้บริหารได้ทราบผลการดำเนินงานว่าอยู่ในสภาพใดเป็นที่น่าพอใจหรือไม่
 (2) ช่วยให้ผู้บริหารได้สารสนเทศในการวางแผนและพัฒนาการเรียนการสอน
 (3) ช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของโครงการว่าจะยุติหรือดำเนินการต่อไป หรือไม่ อย่างไร 
 ตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของการประเมินการเรียนการสอน 
                การประเมินการเรียนการสอนเพื่อพิจารณาว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้บรรลุผลสัมฤทธิ์หรือไม่ ควรพิจารณาจากตัวชี้วัดที่สะท้อนคุณภาพหรือความสำเร็จของการดำเนินงาน 2 ด้าน คือ ด้านประสิทธิผล (effectiveness) และประสิทธิภาพ (efficiency) (ศิริชัย  กาญจนวาสี2552หน้า 147-148)
 ประสิทธิผล หมายถึง การบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่พึงปรารถนา นั่นคือ ผลการปฏิบัติงานไม่ว่าจะเป็นผลผลิต ผลกระทบ ผลลัพธ์ ได้ผลตรงตามที่คาดหวังไว้และเป็นที่พึงพอใจ หรือไม่
  ส่วนประสิทธิภาพ หมายถึง ความสามารถของการใช้ทรัพยากรและกระบวนการปฏิบัติงานใน การสร้างผลผลิตซึ่งมีลักษณะที่สำคัญคือ การประหยัดหรือการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ก่อให้เกิดผลสูงสุด และความสามารถในการลดค่าใช้จ่ายในการผลิต ในการประเมินการเรียนการสอนนั้น ตัวชี้วัดด้านประสิทธิผลและประสิทธิภาพได้จากการประเมิน ทั้งในระหว่างการดำเนินงานหรือการประเมินความก้าวหน้า (formative evaluation) และเมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานหรือการประเมินผลรวม (summative evaluation) ตัวชี้วัดทั้งสองได้มาจากการรวบรวม ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพอย่างเป็นระบบ 
ขอบเขตของการประเมินการเรียนการสอน 
 การประเมินการเรียนการสอนสามารถแบ่งตามจุดมุ่งหมายและกรอบระยะเวลาของการดำเนินงาน ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ (Smith & Ragan, 1999, p. 338)
1. การประเมินความก้าวหน้า (formative evaluation) ซึ่งเป็นการประเมินในระหว่างดำเนินงาน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้สารสนเทศที่นำไปใช้ในการปรับปรุง แก้ไขจุดบกพร่องของการออกแบบการเรียน การสอน สิ่งที่ประเมิน ได้แก่ แผนการเรียนการสอนและสื่อการเรียนการสอนที่เกิดขึ้นจากการออกแบบ และพัฒนา เพื่อดูความเหมาะสมและสอดคล้องขององค์ประกอบของการเรียนการสอนว่ามีความสัมพันธ์ เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบหรือไม่อย่างไร ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร สื่อการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลเป็นอย่างไรเมื่อไปทดลองใช้ ก่อนจะนำไปใช้จริงกับประชากรกลุ่มเป้าหมาย 2. การประเมินผลรวม (summative evaluation) เป็นการประเมินเมื่อสิ้นสุดโครงการ โดย มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้สารสนเทศที่นำไปใช้ในการตัดสินคุณค่า ความสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงการ ทั้งหมดโดยภาพรวม โดยพิจารณาจากประสิทธิผลและประสิทธิภาพของโครงการ 
                การประเมินความก้าวหน้า  
                การประเมินความก้าวหน้ามักจะดำเนินการโดยทีมผู้ออกแบบการเรียนการสอนและบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน ได้แก่ ครู นักเรียน และการรับฟังความคิดเห็นของผู้ประเมินจากภายนอก ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อการเรียนการสอน และผู้ที่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนา เป็นต้น การประเมินความก้าวหน้าประกอบด้วยขั้นตอนในการดำเนินการ 4 ขั้นตอน ได้แก่
ขั้นที่ 1 การประเมินการออกแบบ เป็นการประเมินก่อนเริ่มต้นโครงการพัฒนาการเรียนการสอน 
ขั้นที่ 2 การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นการประเมินหลังจากการพัฒนาการเรียนการสอน เรียบร้อย
  ขั้นที่ 3 การประเมินโดยผู้เรียน เป็นการทดลองการเรียนการสอนที่ออกแบบและพัฒนากับ ผู้เรียนที่เป็นตัวแทนของกลุ่มเป้าหมายหรือประชากร 
ขั้นที่ 4 การประเมินต่อเนื่อง เป็นการประเมินเพื่อติดตามผลกระทบต่อเนื่องจากการทดลอง ใช้การเรียนการสอนโดยผู้เกี่ยวข้องและได้รับผลได้ผลเสียจากโครงการ 
1. การประเมินการออกแบบ หมายถึง การประเมินผลผลิต (output) ที่เกิดจากการ ออกแบบการเรียนการสอนในแต่ละขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ขั้นการวิเคราะห์ ผลการประเมินที่ได้ในขั้นนี้ คือ เป้าหมายการเรียนรู้ การวิเคราะห์ผู้เรียนและบริบทการเรียน การวิเคราะห์งาน เป็นต้น ก่อนที่จะไปสู่ขั้นการ ออกแบบการเรียนการสอน ผลผลิตที่ได้ควรได้รับการตรวจสอบ ค าถามที่ใช้เป็นแนวทางในการรวบรวม สารสนเทศในการประเมินในขั้นนี้ ได้แก่
 1) เป้าหมายการเรียนรู้ตอบสนองปัญหาที่วิเคราะห์จากความต้องการจำเป็นหรือไม่
2) การวิเคราะห์ผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้มีความถูกต้องตรงตามเป้าหมายการ เรียนรู้หรือไม่
 3) การวิเคราะห์งานได้ระบุความรู้และทักษะพื้นฐานที่ต้องมีมาก่อนซึ่งจำเป็นต่อการ เรียนรู้เรื่องใหม่ที่เป็นเป้าหมายการเรียนการสอนที่กำหนดหรือไม่ ความรู้และทักษะพื้นฐานที่ระบุมีความ ถูกต้อง และเป็นตัวแทนที่แท้จริงหรือไม่
 4) แบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพื่อประเมินผลการเรียนรู้มีความตรงและความเชื่อมั่นตาม จุดประสงค์การเรียนรู้หรือไม่
 5) เครื่องมือการวัดประเมินผลผู้เรียนและเกณฑ์การประเมินสามารถจำแนกผู้เรียนได้อย่าง แน่นอนหรือไม่
          2. การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ  ก่อนที่จะนำผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการออกแบบการเรียน การสอน เช่น สื่อการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้กับผู้เรียน ควรนำสื่อไปให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินเพื่อ ตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์ของสื่อ ผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ประเมินควรมีอย่างน้อย 3 คน ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอน ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้เรียนหรือครูผู้สอน นอกจากนี้อาจเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และความชัดเจนของภาษาที่ใช้ใน สื่อการเรียนการ
สอน และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอื่น ๆ ที่จำเป็น เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ค าถามที่ใช้เป็นแนวทางในการรวบรวมสารสนเทศในการประเมิน ได้แก่
1) เนื้อหามีความถูกต้องและทันสมัยหรือไม่
2) ตัวอย่าง แบบฝึกหัดมีความถูกต้องและสมจริงหรือไม่
3) แนวทางและวิธีการเรียนการสอนมีความเหมาะสม สอดคล้องกับทฤษฎีหรือหลักการ เรียนรู้ตามธรรมชาติของเนื้อหาหรือไม่
 4) แนวทางและวิธีการเรียนการสอนมีความเหมาะสมกับผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย หรือไม่
 5) กลวิธีการเรียนการสอนที่ใช้สอดคล้องกับหลักการและรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้ หรือไม่
          3. การประเมินโดยผู้เรียน ตัวชี้วัดที่ดีที่สุดในการประเมินว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ หรือไม่จากการเรียนการสอนที่นำเสนอ ก็คือการทดลองใช้กับผู้เรียนที่เป็นตัวแทนของประชากร กลุ่มเป้าหมาย เพื่อศึกษาว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้หรือไม่และประสบปัญหาอะไรในการเรียนรู้ การ ประเมินโดยผู้เรียนจะท าใน 3 ลักษณะ ได้แก่   
3.1  การประเมินแบบ 1:1 (one-to-one evaluation) หมายถึง การประเมินที่ผู้ประเมิน ท าการประเมินผู้เรียนเป็นรายบุคคล ครั้งละ 1 คน แบบตัวต่อตัว ผู้เรียนที่ร่วมในการประเมินนี้ควรมี ลักษณะที่เป็นตัวแทนของผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย และมีจำนวนอย่างน้อย 3 คน คือผู้เรียนที่เป็น ตัวแทนของผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์การเรียนต่ำปานกลาง และสูง ตามลำดับ สารสนเทศที่ต้องการในขั้นนี้คือ การค้นหาข้อบกพร่องที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน และสื่อที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน ค าถามที่ใช้เป็น แนวทางในการรวบรวมสารสนเทศในการประเมิน ได้แก่
1) ผู้เรียนเข้าใจภาษาที่สื่อสารในการเรียนการสอนได้ชัดเจนหรือไม่
 2) ผู้เรียนรู้หรือไม่ว่าจะต้องทำอะไรในระหว่างฝึกปฏิบัติและทดสอบ
3) ผู้เรียนเข้าใจภาพที่ใช้ในสื่อการเรียนการสอนได้ตรงกับที่ผู้ออกแบบต้องการ สื่อสารหรือไม่
4) ผู้เรียนสามารถอ่านข้อความที่ปรากฏในสื่อการเรียนรู้ได้ถูกต้องครบถ้วน หรือไม่   บทบาทของผู้ออกแบบการเรียนการสอนคือรวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทดลอง สอนและใช้สื่อการเรียนการสอนและพยายามซักถามคำถามจากผู้เรียนเพื่อหาคำตอบในการแก้ไขปัญหาที่ พบ  การซักถามนี้ควรกระทำหลังจากการทดลองได้เสร็จสิ้นแล้ว เพื่อมิให้เป็นการขัดจังหวะการทดลอง สอนและใช้สื่อการเรียนการสอน
               3.2  การประเมินกลุ่มเล็ก (small group) หมายถึง การประเมินการเรียนการสอนกับ ผู้เรียนกลุ่มเล็กซึ่งเป็นตัวแทนของประชากรกลุ่มเป้าหมาย ขนาดของกลุ่มคือประมาณ 8-12 คน เป็นการ ทดลองหลังจากที่ได้นำข้อบกพร่องที่พบในการประเมินแบบ 1:1 มาปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้ว โดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบว่าผลการปรับปรุงการเรียนการสอนและสื่อการเรียนการสอนหลังการนำไปใช้ กับกลุ่มเล็กมีคุณภาพดีขึ้นหรือไม่ ค าถามที่ใช้เป็นแนวทางในการรวบรวมสารสนเทศในการประเมิน ได้แก่
1) ผู้เรียนมีความรู้ ทักษะพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้หรือไม่
 2) ถ้าผู้เรียนมีความรู้ ทักษะพื้นฐานอยู่แล้ว ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการ เรียนรู้หรือไม่ ถ้าไม่ประสบความสำเร็จจะต้องปรับปรุงการเรียนการสอนอย่างไร
 3) ถ้าผู้เรียนไม่มีความรู้ ทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้ ผู้เรียนขาดความรู้ ทักษะ พื้นฐานในเรื่องใด
4) ผู้เรียนควรได้รับการพัฒนาทักษะเพิ่มเติมในเรื่องใด
5) ในการจัดการเรียนการสอนให้เสร็จสมบูรณ์จะต้องใช้เวลานานเท่าใด
 6) ผู้เรียนมีความรู้สึกอย่างไรกับการเรียนการสอน ถ้าผู้เรียนมีความรู้สึกในด้าน ลบจะมีผลต่อการปฏิบัติของผู้เรียนหรือไม่
7) จำเป็นต้องปรับปรุงสิ่งใดเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน
 8) ผลการปรับปรุงภายหลังการทดลองใช้แบบ 1: 1 ได้ผลน่าพอใจหรือไม่
9) มีปัญหาและข้อบกพร่องของสื่อการเรียนการสอนเพิ่มเติมอีกหรือไม่    ในการทดลองกับกลุ่มเล็ก ผู้ประเมินจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนอยู่ในสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ที่เหมือนการใช้จริงทุกประการ โดยจัดให้มีการวัดผลก่อนเรียน (pretest) เพื่อวัดความรู้ ทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้ และวัดผลหลังการเรียนเสร็จสิ้นแล้ว (posttest) หากเกรงว่าการทดสอบจะ ทำให้ผู้เรียนอ่อนล้า ควรทำการทดสอบหนึ่งวันก่อนจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามแผนการเรียนการสอนที่ได้ ออกแบบไว้ ผู้ออกแบบการเรียนการสอนท าหน้าที่สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการทดลองโดยไม่แทรกแซง กระบวนการจัดการเรียนการสอน นอกเสียจากผู้สอนไม่สามารถดำเนินการต่อถ้าไม่เข้าช่วยเหลือ ในขั้นนี้ หากเป็นไปได้ผู้ออกแบบการเรียนการสอนควรมีการบันทึกเทปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้สามารถย้อนกลับ มาดูใหม่ได้ ควรมีการบันทึกเวลาที่ใช้ในการเรียนการสอน หลังการทดลองจะต้องมีการอภิปรายร่วมกับ ผู้เรียนเพื่อหาข้อบกพร่องที่พบในการทดลอง 
  3.3  การประเมินภาคสนาม (field trials) หมายถึง การประเมินการเรียนการสอนกับ ผู้เรียน ซึ่งเป็นตัวแทนของประชากรกลุ่มเป้าหมายในสภาพแวดล้อมที่ใช้จริง โดยจุดมุ่งหมายของการ ประเมินภาคสนาม คือ
1) การตรวจสอบประสิทธิผลการเรียนรู้ของผู้เรียนภายหลังจากที่ได้นำ ข้อบกพร่องที่พบในการประเมินแบบกลุ่มเล็กมาปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ก่อนนำไปทดลองใช้ ภาคสนาม
 2) เพื่อศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจัดการเรียนการสอนและใช้สื่อการเรียนการ สอนในสภาพแวดล้อมจริง
 3) ทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจในประสิทธิผล และประสิทธิภาพของการเรียนการสอน
4) นำผลการทดลองใช้มาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนและสื่อการเรียนการ สอนให้มีความสมบูรณ์ในขั้นสุดท้ายก่อนที่จะนำไปใช้จริง   
การประเมินภาคสนามนี้ผู้ประเมินจัดสภาพการทดลองให้อยู่ในบริบทที่นำไปใช้ จริง คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างผู้เรียนที่เป็นตัวแทนของประชากรกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมในการทดลอง ภาคสนามอย่างน้อย 1 กลุ่ม หรือมากกว่านั้น โดยมีจำนวนผู้เรียนในกลุ่ม 30 คน เป็นอย่างน้อยในแต่ละ ครั้งของการทดลอง ผู้ทำหน้าที่จัดการเรียนการสอนโดยปกติคือครูผู้สอน ผู้ออกแบบการเรียนการสอนมี หน้าที่สังเกตและบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการทดลอง เพื่อตรวจสอบว่าการทดลองเป็นไป ตามที่ออกแบบไว้หรือไม่ ผู้ออกแบบท าหน้าที่ประสานงาน รวบรวมข้อมูลด้วยเครื่องมือที่พัฒนาให้มี คุณภาพและสะดวกต่อการใช้งาน เมื่อรวบรวมข้อมูลได้แล้ว ท าการวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล นอกจากข้อมูลที่รวบรวมได้ในระหว่างการทดลองแล้ว ผู้ออกแบบการทดลองยังเก็บข้อมูลเพิ่มหลังการ ทดลองด้วยวิธีการสัมภาษณ์ สอบถามความคิดเห็นของครูและผู้เรียนเพิ่มเติม ค าถามที่ใช้เป็นแนวทางใน การรวบรวมสารสนเทศในการประเมิน ได้แก่ 1) การเรียนการสอนและสื่อการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ตามที่ได้ ออกแบบไว้หรือไม่
 2) ปัญหาที่ประสบในการจัดการเรียนการสอนมีอะไรบ้าง
3) ผู้สอนสามารถดำเนินการน าเสนอสารสนเทศตามที่ได้ออกแบบไว้ได้อย่าง สะดวก ราบรื่นในการใช้หรือไม่
4) ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์การเรียนการสอนตามที่กำหนดไว้หรือไม่
 5) เวลาที่กำหนดไว้ในการเรียนการสอน/การใช้สื่อการเรียนการสอนมีความ เหมาะสมพอเพียงหรือไม่
6) ผู้เรียนมีความรู้สึกอย่างไรกับการเรียนการสอน/สื่อการเรียนการสอน
7)  ผลการปรับปรุงภายหลังการประเมินแบบกลุ่มได้ผลน่าพอใจหรือไม่
8) ผู้สอนรู้สึกอย่างไรกับการเรียนการสอนและสื่อการเรียนการสอน
9) ผู้สอนและผู้เรียนสามารถปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนตามที่ได้ออกแบบไว้ หรือไม่
10)  ผู้สอนได้เปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงการเรียนการสอนอะไรบ้าง 
          4. การประเมินต่อเนื่อง (ongoing evaluation) การประเมินผลเพื่อพัฒนานี้จะดำเนินการ อย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะมีการทดลองการเรียนการสอนและสื่อการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นไปใช้กับ กลุ่มเป้าหมายแล้วก็ตาม โดยเฉพาะโครงการออกแบบการเรียนการสอนขนาดใหญ่ การทดลองใช้กับ กลุ่มเป้าหมายอาจกระทำต่อเนื่องหลายครั้งในบริบทการเรียนการสอนที่แตกต่างกันออกไป เพื่อน า ข้อมูลมาปรับปรุงแก้ไขการเรียนการสอนและสื่อจนกว่าจะมีความมั่นใจว่าการเรียนการสอนหรือสื่อ ที่พัฒนาขึ้นนั้นมีคุณภาพและประสิทธิภาพในการนำไปใช้ได้จริง   ในการวางแผนการประเมินความก้าวหน้า ผู้ออกแบบควรตั้งคำถามเพื่อเป็นแนวทางสำหรับ การค้นหาคำตอบ ดังนี้  
 1)  ใครเป็นผู้ประเมิน  
 2)  จะใช้เกณฑ์อะไรในการประเมิน
 3)  จะรวบรวมข้อมูลและสรุปข้อมูลอย่างไร 
4)  จะประเมินเมื่อไร 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับบล็อค

บล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการจัดการเรียนรู้ และการจัดการชั้นเรียน โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิจิตรา ธงพานิช สาขาหลักสู...